วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556


การใช้ประโยคขอกเล่าและประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ


1.           ประโยคบอกเล่า (Affirmative)
เป็นประโยคที่ใช้พูดเพื่อบอกเรื่องราว เป็นการให้ข้อมูล หรือเล่าเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งประโยคคำสั่ง ประโยคขอร้องด้วย
รูปแบบประโยค จะประกอบไปด้วย สองส่วน คือ ภาคประธาน และ ภาคกริยา เรียงกันตามลำดับ เช่น

ประธาน (Subject)
กริยา (Verb)
Suda
smiles.

2.           สำหรับประโยคคำสั่ง จะละประธานไว้ในฐานะที่เข้าใจกัน เพราะ การสั่ง คือการพูดให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม ดังนั้น ประธานจึงเป็นคำว่า YOU เช่น
  Give me a glass of water. (เอาน้ำมาให้แก้วนึง)

3.           สำหรับประโยคขอร้อง REQUEST เป็นคำพูดที่ควรใช้บ่อย ๆ เพราะเป็นคำพูดสุภาพที่ขอให้ผู้อื่นช่วย หรือทำอะไรบางอย่าง รูปประโยคก็จะเหมือนประโยคคำสั่ง เพียงแต่มีส่วนที่เป็นคำพูดเพราะ ๆ เพิ่มเข้ามา เช่น
  Give me a glass of water, please. (ขอน้ำแก้วนึงครับ)
หรืออาจจะเป็นประโยคคำถามที่เพราะ ๆ ก็ได้ เช่น
   Can you give me a glass of water, please? (ช่วยเอาน้ำให้ผมแก้วนึงนะครับ)

4.           รูปแบบประโยคบอกเล่า

o    ประโยค อาจจะประกอบด้วย ประธาน และ กริยาเพียงสองตัวก็ได้ เช่น
   Suda sleeps. (สุดานอน)

o    ประโยคอาจจะมีคำมาต่อท้ายจากริยาได้อีก เช่น

a.            กรรมตรง (Direct Object) หรือ กรรมรอง (Indirect Object) เช่น
  Suda likes Narumon. (Narumon = Director Object) สุดาชอบนฤมล
  Suda asked Narumon some questions. (Narumon = Indirect Object, some questions = Direct Object) สุดาถามนฤมล 2-3 คำถาม

b.           คำที่บอกลักษณะ หรือ คำคุณศัพท์ (adjective) หรือ คำนามที่ต่อจาก verb to be เช่น
  Suda looks tired. (สุดาดูท่าทางเหนื่อย)
  You are the boss. (คุณเป็นหัวหน้า)

c.            คำขยายกริยา (adverb) หรือ กลุ่มของคำขยายของกริยา (adverb เช่น
  Suda sings beautifully. (สุดาร้องเพลงเพราะมาก)
  He took a taxi to the station. (เขานั่งรถแท็กซี่ไปที่สถานี)

5.           ประโยคคำถาม (Interrogative)

ในภาษาอังกฤษ คำถามสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1.           คำถามที่ต้องการคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เราเรียกว่าเป็น Yes/No question

2.           ส่วนอีกลักษณะ จะขึ้นต้นประโยคด้วย คำว่า Who, What, Where, When, Why และ How (ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม และอย่างไร) ซึ่งเรียกว่าเป็น WH-Question

1.           Yes/No Question
ประโยคคำถามประเภทนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาไทย ก็คือคำถามที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ใช่ไหม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ฯลฯ การถามคำถามประเภท Yes/No Question นี้ มักจะลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง ตัวอย่างคำถามประเภทนี้ เช่น ถามว่า เมื่อวานไปได้ไปถอนเงินให้ผมหรือเปล่า เป็นต้น คำถามประเภทนี้ ในภาษาอังกฤษ จะมีรูปแบบการถามหลายอย่าง คือ

1.           ขึ้นต้นคำถามด้วย Verb to be เช่น ถามว่า
ผู้หญิงคนนี้สวยไหม? เราถามว่า
  Is this woman beautiful?
ถ้าถามว่า รถคันใหม่ของคุณสีแดงใช่ไหม? เราถามว่า
  Is your new car red?
ถ้าถามว่า บ้านคุณอยู่ไกลหรือเปล่า (ถามคำถามนี้ รู้นะว่าคิดอะไรอยู่) เราถามว่า
  Is your house far from here?
ถ้าภามว่า เด็ก ๆ พวกนั้น เป็นลูกคุณหรือเปล่า เราถามว่า
  Are they your children?
จะเห็นว่า ประโยคภาษาอังกฤษเหล่านี้ ถ้าพูดเป็นประโยคบอกเล่า Verb to be จะอยู่หลังประธาน เช่น

ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
   This woman is beautiful.
   Is  this woman beautiful?
   Your new car is red.
   Is  your new car red?
   Your house is far from here.
   Is  your house far from here?
   They are your children.
   Are  they your children?

2.           ขึ้นต้นคำถามด้วย Verb to do เช่น ถามว่า
คุณต้องการให้ผมช่วยเหลือไหม เราถามว่า
  Do you need my help?
หรือ ถามว่า เธอเป็นคนตื่นนอนเช้าใช่ไหม? เราถามว่า
  Does she get up early?
จะเห็นว่า ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Do หรือ Does มาจากประโยคบอกเล่าธรรมดา ที่ไม่มีกริยาช่วยตัวอื่นอยุ่ด้วย ดังนี้

ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
   You need my help.
   Do  you need my help?
   She gets up early.
   Does  she get up early?

3.           ข้อสังเกต
เราใช้ Do กับประธานพหูพจน์ และใช้กับ I, You, We, They
ส่วน Does เราใช้กับประธานเอกพจน์ และใช้กับ He, She และ It.
เมื่อมี does มาอยู่หน้าประโยค คำกริยาจะไม่เติม s

4.           ขึ้นต้นคำถามด้วยกริยาช่วยตัวอื่น ๆ
ในกรณีที่ประโยคมีกริยาช่วย เช่น can, may, will, could เป็นต้น เราจะเอากริยาช่วย เหล่านี้ มาวางไว้หน้าประโยค เช่น ถ้าต้องการพูดว่า
กรุณาพูดช้าสักหน่อยได้ไหมครับ
  Can you speak slowly, please?
จะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ครับ
  Will you come back?
คุณจะลองใส่ไหมครับ
  Would you like to try it on?
ข้อสังเกต
เรานำคำกริยาช่วย วางไว้หน้าประธาน จากนั้นจึงเรียงประโยคไปตามปกติ

2.           WH Question
เป็นการถามรายละเอียด ว่า ใคร(who) ทำอะไร(what) ที่ไหน(where) เมื่อไร(when) ทำไม(why) และอย่างไร(how) โดยมีการเรียงรูปประโยค ดังนี้

คำถาม
กริยาช่วย/Verb to be
ประธาน
(กริยา)+ส่วนอื่น ๆ

3.           ถ้ากริยาในประโยคเป็น Verb to be หรือมีกริยาช่วยตัวอื่น ๆ เราเพียงแต่สลับ Verb to be หรือ กริยาช่วยมาไว้หน้าประธาน ส่วนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ถ้าประโยคเดิม ไม่มี verb to be หรือ กริยาช่วยตัวอื่น ๆ เราต้องใช้ do หรือ does มาวางไว้หน้าประธาน
ตัวอย่างประโยค
ถ้าต้องการถามว่า.....

คุณมาจากที่ไหน?
           Where are you from?

o    รถบัสของคุณจอดที่ไหน
  Where is your bus?

o    คุณจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร
  How long will you stay here?

o    เมื่อวานนี้คุณอยู่ที่ไหน
  Where were you yesterday?

o    คุณต้องการชมอะไร
  What would you like to see, sir?

o    คุณจะกลับมาอีกเมื่อไร
  When will you be back?

  ประโยคปฎิเสธ (Negative)
ประโยคปฏิเสธในภาษาไทยมีคำว่า "ไม่" แต่ในภาษาอังกฤษ จะมีคำว่า "not" อยู่ในประโยค ตำแหน่งในประโยค จะเป็นดังนี้

ประธาน
กริยาช่วย/Verb to be
not
(กริยา)+ส่วนอื่น ๆ

ถ้าประโยคเดิม มี Verb to be หรือ กริยาช่วยตัวอื่น เช่น can, will ฯลฯ อยู่แล้ว คำว่า not จะอยู่หลัง verb to be หรือกริยาช่วยเหล่านั้น แต่ถ้าไม่มี verb to be หรือ กริยาช่วยตัวอื่นใด จะต้องนำ do หรือ does มาช่วยทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ
ตัวอย่าง
ถ้าจะพูดว่า..... 

  • ราคาไม่แพง
      It is not expensive.
  • เราไม่มีสินค้าสีน้ำเงิน
      We don't have the blue one.
  • ผมไม่ชอบมาสาย
      I don't like being late.
  • ราคาจะไม่ลงอีก
      The price won't come down.

ข้อสังเกต
ในภาษาพูด จะพูดแบบย่อคำ เช่น will not จะพูดว่า won't และ do not จะพูดย่อว่า don't

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น